วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บะหมี่แห้งหอมเจียว อาหารสิ้นเดือนถึงทรัพย์น้อยก็อร่อยได้



บะหมี่แห้งหอมเจียว อาหารจานเดียวสุดง่ายจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป พ่วงสูตรซอสรสเด็ด อร่อยง่าย ๆ ยามสิ้นเดือน

          สิ้นเดือนแบบนี้คงไม่มีใครปฏิเสธอาหารคู่ชีพอย่างเมนูบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปได้หรอกเนอะ แต่ครั้นจะให้ฉีกซอง เทน้ำร้อน ใส่เครื่องปรุง คน ๆ หน่อยแล้วอ้ำเข้าปากทุกมื้อคงไม่ไหว น่าจะดัดแปลงนิดหน่อยทำให้เจริญอาหารมากขึ้น เอาล่ะ… มาทางนี้เลยจ้า กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำบะหมี่แห้งหอมเจียวสูตรจากนิตยสารแม่บ้าน สูตรนี้ทำง่ายเว่อร์ ! แค่ลวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้พร้อม คลุกน้ำซอสหน่อย โปะไข่ดาวสักฟอง โรยต้นหอมหน่อย และที่ขาดไม่ได้เลยคือ หอมเจียว พระเอกของเรา ทั้งนี้ถ้าหากยังพอมีทรัพย์มากหน่อยก็เพิ่มหมูสับโรยหน้าลงไปกลายเป็นบะหมี่แห้งหมูสับ หรือจะใส่หมูแดงก็ได้เช่นกัน กลายเป็นบะหมี่แห้งหมูแดง ถ้าอยากกินแล้วลื่นคอก็จัดน้ำซุปสักถ้วย อูย… น้ำลายไหลเลยคุณพี่

ส่วนผสม บะหมี่แห้งหอมเจียว

          • บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 2 ห่อ
          • น้ำเปล่า
          • น้ำมันพืช 5 ช้อนโต๊ะ
          • หอมแดงซอย 1/2 ถ้วยตวง
          • ไข่ไก่ 2 ฟอง
          • ซอสถั่วเหลือง 2 ช้อนชา
          • ซอสมะเขือเทศ 1 ช้อนโต๊ะ
          • พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
          • น้ำมันงา 1 ช้อนชา
          • ต้นหอมซอยละเอียด 

วิธีทำบะหมี่แห้งหอมเจียว


          • 1. ลวกเส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในน้ำเดือดพอสุก พักไว้

          • 2. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชรอจนร้อน นำหอมแดงลงไปเจียวจนกรอบ ตักขึ้นพักไว้

          • 3. ใช้กระทะใบเดิมทอดไข่ดาวจนสุก

          • 4. ทำซอสโดยผสมซอสถั่วเหลือง ซอสมะเขือเทศ พริกไทยป่น และน้ำมันงาให้เข้ากัน

          • 5. นำซอสไปคลุกกับเส้นบะหมี่ลวกให้ทั่ว ตักใส่ชาม โรยหอมแดงเจียวและต้นหอม โปะไข่ดาว จัดเสิร์ฟ

          เห็นภาพเมนูบะหมี่แห้งหอมเจียวแล้วเผลอกลืนน้ำลายตามจริง ๆ เหมาะทำกินยามสิ้นเดือนมาก ๆ เลยค่ะ แต่ถ้าหากรอไม่ไหวเพื่อน ๆ จะทำกินตอนต้นเดือน หรือกลางเดือนก็ไม่ว่ากันเนอะ จะใส่เนื้อสัตว์เพิ่มก็ยังได้ แต่อย่าลืมหอมเจียวนะคะ ทีเด็ดเลยล่ะ ถ้าอยากพิสูจน์ว่าอร่อยแค่ไหน เข้าครัวเลยจ้า
ขอขอบคุณภาพจาก

ข้าวไข่ข้น อาหารจานเดียว เมนูไข่ จะมื้อไหน ๆ ก็ทั้งอิ่มทั้งอร่อย จัดหนักจัดเต็มให้ถึง 6 จานเด็ด อิ่มอร่อยทุกเพศทุกวัย 

          อาหารเช้าเมนูไข่ใครก็ยากจะปฏิเสธ แต่ถ้าเบื่อเมนูไข่เจียว ไข่ดาว หรือไข่ต้มแบบบ้าน ๆ กันแล้วมาลองทำเมนูไข่ข้นกันบ้างดีกว่า กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำข้าวไข่ข้น หรือ ออมเล็ต มีทั้งเมนูข้าวไข่ข้นแฮม ข้าวไข่ข้นพริกแกงโหระพา ข้าวไข่ข้นซอสต้มยำทะเล ข้าวหน้าไข่ข้นหมูทงคัตสึ ข้าวหน้าไข่ข้นซอสเดมิกลาส และมาม่าไข่ข้น สูตรข้าวไข่ข้นแต่ละจานเด็ด ๆ ทั้งนั้น อาจดัดแปลงทำเป็นข้าวไข่ข้นกุ้งก็ได้ด้วย ไปล้างตะหลิวรอเลยจ้า


ส่วนผสม ข้าวไข่ข้น

          • ไข่ไก่ 2 ฟอง
          • นมสด 2 ช้อนโต๊ะ
          • ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
          • พริกไทยป่น
          • น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ
          • เบคอนทอด (หั่นเป็นชิ้น) 30 กรัม
          • เกลือเล็กน้อย
          • ข้าวสวย

วิธีทำข้าวไข่ข้น

          • 1. ตีผสมไข่ไก่กับนมสด ปรุงรสด้วยซอสปรุงรส และพริกไทย ตีผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้

          • 2. ผัดแฮมจนสุก ปรุงรสด้วยเกลือ ตักขึ้น เตรียมไว้

          • 3. ตั้งกระทะให้ร้อนใส่น้ำมันลงไป จากนั้นเทส่วนผสมไข่ลงกลอกให้ทั่วกระทะ ใส่ส่วนผสมเบคอนทอดลงบนไข่ไก่ ทอดจนไข่ไก่สุกตามที่ต้องการ ค่อย ๆ วางลงบนหน้าข้าว โรยด้วยพริกไทยเล็กน้อย พร้อมเสิร์ฟ

ข้าวขาหมู สูตรตุ๋นเครื่องยาจีน พร้อมน้ำจิ้มรสเด็ด

ตุ้ยนุ้ยก็ยอมล่ะ ! ชวนทำเมนูข้าวขาหมู สูตรตุ๋นยาจีนเนื้อเปื่อยนุ่ม กลิ่นหอมฉุย เครื่องแน่น พ่วงสูตรน้ำจิ้มตัดเลี่ยน เด็ดและดีต้องบอกต่อ  

          สูตรข้าวขาหมูเยาวราช หรือสูตรข้าวขาหมูตรอกซุงก็อร่อย แต่บ้านไกลขี้เกียจไปเข้าคิว ถ้าใครไม่สนใจว่าข้าวขาหมูกี่แคลอรี และอยากทำเมนูข้าวขาหมูกินเองที่บ้าน กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำข้าวขาหมู สูตรจาก คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เป็นวิธีทําข้าวขาหมูสูตรต้นตํารับ ใส่เครื่องตุ๋นยาจีน มาพร้อมสูตรน้ำจิ้มข้าวขาหมู อ้วนก็ยอม

          ข้าวขาหมูอร่อยครบเครื่อง by ครัวตุ๊กตา โดย คุณ tukata001 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          วันนี้ตาชวนมาทาน ข้าวขาหมูค่ะ ไม่ต้องเจ้าดังหรอกค่ะ ทำเองทานที่บ้านนี่แหละค่ะ อร่อยสุด ๆ ทานกันได้ทั้งบ้าน ช่วยกันอ้วนไงคะ ข้าวขาหมูที่ตาทำนี้ใส่เครื่องจัดเต็มค่ะ ทั้งไส้ใหญ่ ทั้งคากิ ทั้งขาหมู ไข่ต้ม ผักกาดดอง คะน้าลวก ไม่อร่อยให้รู้กันไปค่ะ ทำไม่ยากเลยค่ะ ไปดูส่วนผสมกันก่อนค่ะ เนื้อหายาวนะคะ รูปเยอะ ตั้งใจจะทำให้ละเอียดค่ะ แต่ถ้าเบื่อ กดลงไปด้านล่างเลยค่ะ ไปดูวิดีโอที่ตาทำไว้ให้ก็ได้ค่ะ แบบละเอียดทุกขั้นตอนเลยค่ะ
ส่วนผสม ขาหมูพะโล้

          • เครื่องตุ๋นยาจีน (โป๊ยกั๊ก อบเชย ลูกผักชี ลูกจันทน์เทศ ฮวยซัว และอื่น ๆ) 1 ถ้วย
          • พริกหอม
          • ขาหมูหั่น 1 ขา
          • รากผักชี (หรือก้านผักชี) 1 กำมือ
          • กระเทียมแกะเปลือก 2 หัวใหญ่
          • ข่า 2 ชิ้น
          • พริกไทยดำเม็ด 2 ช้อนโต๊ะ
          • ผงพะโล้ 2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำตาลปี๊บ (หรือน้ำตาลอ้อย) 1/2 ถ้วย
          • น้ำตาลกรวด 2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำมันหอย 1/2 ถ้วย
          • ซีอิ๊วขาว 1/2 ถ้วย
          • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
          • ซีอิ๊วดำ 2 ช้อนโต๊ะ
          • น้ำเปล่า 6 ถ้วย
          • ผักกาดดอง 1 หัว
          • ไข่ต้ม 5 ฟอง
          • ไส้ใหญ่ 1 แพ็ก
          • พริกไทยป่น 1 ช้อนโต๊ะ
          • คะน้า 3 ต้น

 • ก่อนอื่นเรามาคั่วเครื่องตุ๋นยาจีนที่เราจะใส่ต้มขาหมูกันก่อน จะมีโป๊ยกั๊ก อบเชย ลูกผักชี ลูกจันทน์เทศ ฮวยซัว และเครื่องยาจีนที่หาได้ค่ะ เอามารวม ๆ กัน สัก 1 ถ้วย ตามด้วยพริกหอม จับเขาคั่วให้หมดเลยค่ะ พอคั่วจนหอมพักไว้ก่อนนะคะ
• ขาหมูเป็นส่วนขาหน้าหรือขาหลังไม่รู้อะ ดูไม่เป็น ที่อเมริกาเขาขายยกขาแล้วก็หั่นท่อน ๆ มาให้เลย ในภาพเห็นเนื้อเยอะดีเลยเลือกมาค่ะ มาครบทั้งคาตั๊งกับคากิอะไรพวกนี้ ขาใหญ่มาก มันก็มากตามมาด้วยค่ะ หากระทะใบใหญ่มาใส่น้ำมันลงไป เปิดเตาให้น้ำมันร้อนแล้วค่อย ๆ หย่อนเจ้าขาหมูกับคากิต่าง ๆ ลงทอดไม่ต้องสุกมากให้หนังตึง ๆ แล้วตักขึ้นพักไว้ค่ะ
• หน้าตาขาหมูที่ทอดแล้วประมาณนี้นะคะ
• หาหม้อใหญ่ ๆ หน่อย นำขาหมูที่ทอดแล้วใส่หม้อค่ะ และตามด้วยเครื่องเทศที่เราคั่วไว้ ใครจะใส่ผ้าขาวบางห่อก็ได้นะคะ ตาจะใส่รวมไปก่อน แล้วพอสุกตาจะกรองเอาเครื่องเทศออกทีหลังค่ะ
• ใส่รากผักชีเลยค่ะ สักกำมือหนึ่งจะได้หอม แต่ตาอยู่อเมริกา ไม่มีรากก็ใช้ก้านเหมือนเดิม
  • ตามด้วยกระเทียมค่ะ
• ตามด้วยข่าสัก 2 ชิ้นเท่าหัวแม่มือค่ะ
• ใส่พริกไทยดำค่ะ
 • ใส่ผงพะโล้ตามลงไปด้วย
• ใส่น้ำมันหอยค่ะ
 • ใส่ซีอิ๊วขาวค่ะ
 • ใส่น้ำตาลกรวดกับน้ำตาลปี๊บ วันนี้ตาใช้น้ำตาลอ้อยค่ะ น้ำตาลอะไรก็ใส่ได้ค่ะ
• ใส่น้ำปลาค่ะ
• ใส่ซีอิ๊วดำค่ะ
• ปรุงรสแล้วเราก็เติมน้ำสะอาดลงไปในหม้อขาหมู ใส่ให้ท่วมขาหมูเลยค่ะ
• แล้วเราก็คนส่วนผสมให้เข้ากันดีค่ะ ปิดฝา หรี่ไฟให้ต่ำที่สุด ต้มไป 3 ชั่วโมงค่ะ เนื้อขาหมูจะเปื่อยกำลังดีค่ะ
• ระหว่างรอต้มขาหมูไปได้สักพัก เราจะมาต้มผักกาดดองกันค่ะ วิธีที่จะทำคือ หากระทะเล็ก ๆ หรือหม้อก็ได้ค่ะ นำผักกาดดองล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วก็คอยช้อนน้ำต้มขาหมูส่วนที่เป็นมัน ๆ ที่ลอยอยู่ด้านบนมาใส่หม้อผักกาดดองของเรา แล้วก็เคี่ยวผักกาดดองกับน้ำมันพะโล้ให้เปื่อย รับรองวิธีนี้อร่อยเด็ดค่ะ   • ส่วนไข่ต้มกับไส้ใหญ่ล้างสะอาด ตาเอามาใส่หม้ออีก 1 ใบค่ะ นำไข่ที่ต้มปอกเปลือกแล้วใส่ลงไป ตามด้วยไส้ใหญ่ แล้วเราตักน้ำพะโล้ในหม้อขาหมูมาใส่ให้ท่วม 

          • วิธีทำให้ไส้ไม่เหม็นทำโดยเอาน้ำส้มสายชูขยำ ๆ ไส้ 1 รอบ ล้างน้ำออก แล้วก็เอาเกลือมาขยำอีก 1 รอบ แล้วล้างน้ำออก กลับด้านในมาล้างด้วยนะคะ และเอาแป้งสาลีอเนกประสงค์มาขยำกับไส้อีกแล้วก็ล้างออก คราวนี้กลับไส้เข้าที่เดิม รับรองไม่เหม็นแน่นอนค่ะ แล้วก็เอาไส้มาใส่หม้อต้มพร้อมไข่ต้ม ที่ตาแยกไม่ต้มไส้กับขาหมู เพราะว่าไส้เขาสุกเปื่อยช้ากว่าขาหมู เลยแยกกันต้มจะดีกว่า ถ้าต้มรวมกันแล้วเนื้อขาหมูจะยุ่ยเละ ทานไม่อร่อยแน่นอน
 • นี่เป็นส่วนของขาหมูหลังจากต้มไป 3 ชั่วโมง สุกเปื่อยกำลังดีเลยค่ะ ไม่เละเกินไป
• ลืมบอกว่าหลังจากต้มขาหมูสุกดีแล้วก็ตักเอาเครื่องเทศที่ใส่ไปในหม้อออกให้หมดเลยค่ะ จะได้น้ำพะโล้กับขาหมูใส ๆ ไม่มีกากเครื่องเทศปนอยู่ค่ะ



ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว สำหรับการรวมตัวของประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนา เสริมสร้างศักยภาพแต่ละประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน กระปุกดอทคอมจึงได้นำเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในด้านต่าง ๆ มาฝาก เพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้เพื่อน ๆ เตรียมความพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งในวันนี้จะเป็นเรื่องของชุดประจำชาติแสนสวย ว่าแต่จะมีชุดอะไรบ้างนั้น เราไปดูพร้อมกันเลย

1. ชุดประจำชาติของประเทศมาเลเซีย

          สำหรับชุดประจำชาติมาเลเซียของผู้ชาย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ประกอบด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) ประกอบด้วยเสื้อคลุมแขนยาว และกระโปรงยาว

                                     บาจู มลายู - ประเทศมาเลเซีย


2. ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนาม

          อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ

3. ชุดประจำชาติของประเทศพม่า

          ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ



4. ชุดประจำชาติของประเทศบรูไน

          ชุดประจำชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจำชาติของผู้ชายประเทศมาเลเซีย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) แต่ผู้หญิงบรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและสุภาพเรียบร้อย



5. ชุดประจำชาติของประเทศลาว

          ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก สำหรับผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย



6. ชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซีย

          เกบาย่า (Kebaya) เป็นชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียสำหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วนการแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่งกางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่งเมื่ออยู่บ้านหรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด

7. ชุดประจำชาติของประเทศฟิลิปปินส์

          ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog) ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าใยสัปปะรด มีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขนสั้นจับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลินตาวัก (balintawak)

8. ชุดประจำชาติของประเทศไทย

          สำหรับชุดประจำชาติอย่างเป็นทางการของไทย รู้จักกันในนามว่า "ชุดไทยพระราชนิยม"โดยชุดประจำชาติสำหรับสุภาพบุรุษ จะเรียกว่า "เสื้อพระราชทาน"

          สำหรับสุภาพสตรีจะเป็นชุดไทยที่ประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซิ่นเป็นท่อนเดียวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควร ความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผู้ที่สวม ใช้เครื่องประดับได้งดงามสมโอกาสในเวลาค่ำคืน


9. ชุดประจำชาติของประเทศกัมพูชา

          ชุดประจำชาติของกัมพูชาคือ ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง

10. ชุดประจำชาติประเทศสิงคโปร์

          สิงคโปร์ไม่มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึ่งแต่ละเชื้อชาติก็มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เช่น ผู้หญิงมลายูในสิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขนยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้











ชุดประจำชาติอาเซียน

ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว สำหรับการรวมตัวของประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนา เสริมสร้างศักยภาพแต่ละประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน กระปุกดอทคอมจึงได้นำเกร็ดความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนในด้านต่าง ๆ มาฝาก เพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้เพื่อน ๆ เตรียมความพร้อมก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ซึ่งในวันนี้จะเป็นเรื่องของชุดประจำชาติแสนสวย ว่าแต่จะมีชุดอะไรบ้างนั้น เราไปดูพร้อมกันเลย

1. ชุดประจำชาติของประเทศมาเลเซีย

          สำหรับชุดประจำชาติมาเลเซียของผู้ชาย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ประกอบด้วยเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวที่ทำจากผ้าไหม ผ้าฝ้าย หรือโพลีเอสเตอร์ที่มีส่วนผสมของผ้าฝ้าย ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) ประกอบด้วยเสื้อคลุมแขนยาว และกระโปรงยาว

                                     บาจู มลายู - ประเทศมาเลเซีย


2. ชุดประจำชาติของประเทศเวียดนาม

          อ่าวหญ่าย (Ao dai) เป็นชุดประจำชาติของประเทศเวียดนามที่ประกอบไปด้วยชุดผ้าไหมที่พอดีตัวสวมทับกางเกงขายาวซึ่งเป็นชุดที่มักสวมใส่ในงานแต่งงานและพิธีการสำคัญของประเทศ มีลักษณะคล้ายชุดกี่เพ้าของจีน ในปัจจุบันเป็นชุดที่ได้รับความนิยมจากผู้หญิงเวียดนาม ส่วนผู้ชายเวียดนามจะสวมใส่ชุดอ่าวหญ่ายในพิธีแต่งงาน หรือพิธีศพ

3. ชุดประจำชาติของประเทศพม่า

          ชุดประจำชาติของชาวพม่าเรียกว่า ลองยี (Longyi) เป็นผ้าโสร่งที่นุ่งทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในวาระพิเศษต่าง ๆ ผู้ชายจะใส่เสื้อเชิ้ตคอปกจีนแมนดารินและเสื้อคลุมไม่มีปก บางครั้งจะใส่ผ้าโพกศีรษะที่เรียกว่า กอง บอง (Guang Baung) ด้วย ส่วนผู้หญิงพม่าจะใส่เสื้อติดกระดุมหน้าเรียกว่า ยินซี (Yinzi) หรือเสื้อติดกระดุมข้างเรียกว่า ยินบอน (Yinbon) และใส่ผ้าคลุมไหล่ทับ



4. ชุดประจำชาติของประเทศบรูไน

          ชุดประจำชาติของบรูไนคล้ายกับชุดประจำชาติของผู้ชายประเทศมาเลเซีย เรียกว่า บาจู มลายู (Baju Melayu) ส่วนชุดของผู้หญิงเรียกว่า บาจูกุรุง (Baju Kurung) แต่ผู้หญิงบรูไนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใส โดยมากมักจะเป็นเสื้อผ้าที่คลุมร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ส่วนผู้ชายจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาว ตัวเสื้อยาวถึงเข่า นุ่งกางเกงขายาวแล้วนุ่งโสร่ง เป็นการสะท้อนวัฒนธรรมสังคมแบบอนุรักษ์นิยม เพราะบรูไนเป็นประเทศมุสสิม จึงต้องแต่งกายมิดชิดและสุภาพเรียบร้อย



5. ชุดประจำชาติของประเทศลาว

          ผู้หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่น และใส่เสื้อแขนยาวทรงกระบอก สำหรับผู้ชายมักแต่งกายแบบสากล หรือนุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อชั้นนอกกระดุมเจ็ดเม็ด คล้ายเสื้อพระราชทานของไทย



6. ชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซีย

          เกบาย่า (Kebaya) เป็นชุดประจำชาติของประเทศอินโดนีเซียสำหรับผู้หญิง มีลักษณะเป็นเสื้อแขนยาว ผ่าหน้า กลัดกระดุม ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ ส่วนผ้าถุงที่ใช้จะเป็นผ้าถุงแบบบาติก ส่วนการแต่งกายของผู้ชายมักจะสวมใส่เสื้อแบบบาติกและนุ่งกางเกงขายาวหรือเตลุก เบสคาพ (Teluk Beskap) ซึ่งเป็นการแต่งกายแบบผสมผสานระหว่างเสื้อคลุมสั้นแบบชวาและโสร่ง และนุ่งโสร่งเมื่ออยู่บ้านหรือประกอบพิธีละหมาดที่มัสยิด

7. ชุดประจำชาติของประเทศฟิลิปปินส์

          ผู้ชายจะนุ่งกางเกงขายาวและสวมเสื้อที่เรียกว่า บารอง ตากาล็อก (barong Tagalog) ซึ่งตัดเย็บด้วยผ้าใยสัปปะรด มีบ่า คอตั้ง แขนยาว ที่ปลายแขนเสื้อที่ข้อมือจะปักลวดลาย ส่วนผู้หญิงนุ่งกระโปรงยาว ใส่เสื้อสีครีมแขนสั้นจับจีบยกตั้งขึ้นเหนือไหล่คล้ายปีกผีเสื้อ เรียกว่า บาลินตาวัก (balintawak)

8. ชุดประจำชาติของประเทศไทย

          สำหรับชุดประจำชาติอย่างเป็นทางการของไทย รู้จักกันในนามว่า "ชุดไทยพระราชนิยม"โดยชุดประจำชาติสำหรับสุภาพบุรุษ จะเรียกว่า "เสื้อพระราชทาน"

          สำหรับสุภาพสตรีจะเป็นชุดไทยที่ประกอบด้วยสไบเฉียง ใช้ผ้ายกมีเชิงหรือยกทั้งตัว ซิ่นมีจีบยกข้างหน้า มีชายพกใช้เข็มขัดไทยคาด ส่วนท่อนบนเป็นสไบ จะเย็บให้ติดกับซิ่นเป็นท่อนเดียวกันหรือ จะมีผ้าสไบห่มต่างหากก็ได้ เปิดบ่าข้างหนึ่ง ชายสไบคลุมไหล่ ทิ้งชายด้านหลังยาวตามที่เห็นสมควร ความสวยงามอยู่ที่เนื้อผ้าการเย็บและรูปทรงของผู้ที่สวม ใช้เครื่องประดับได้งดงามสมโอกาสในเวลาค่ำคืน


9. ชุดประจำชาติของประเทศกัมพูชา

          ชุดประจำชาติของกัมพูชาคือ ซัมปอต (Sampot) หรือผ้านุ่งกัมพูชา ทอด้วยมือ มีทั้งแบบหลวมและแบบพอดี คาดทับเสื้อบริเวณเอว ผ้าที่ใช้มักทำจากไหมหรือฝ้าย หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ซัมปอตสำหรับผู้หญิงมีความคล้ายคลึงกับผ้านุ่งของประเทศลาวและไทย ทั้งนี้ ซัมปอดมีหลายแบบซึ่งจะแตกต่างกันไปตามชนชั้นทางสังคมของชาวกัมพูชา ถ้าใช้ในชีวิตประจำวันจะใช้วัสดุราคาไม่สูง ซึ่งจะส่งมาจากประเทศญี่ปุ่น นิยมทำลวดลายตามขวาง ถ้าเป็นชนิดหรูหราจะทอด้ายเงินและด้ายทอง

10. ชุดประจำชาติประเทศสิงคโปร์

          สิงคโปร์ไม่มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เนื่องจากประเทศสิงคโปร์แบ่งออกเป็น 4 เชื้อชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน มาเลย์ อินเดีย และชาวยุโรป ซึ่งแต่ละเชื้อชาติก็มีชุดประจำชาติเป็นของตนเอง เช่น ผู้หญิงมลายูในสิงคโปร์ จะใส่ชุดเกบาย่า (Kebaya) ตัวเสื้อจะมีสีสันสดใส ปักฉลุเป็นลายลูกไม้ หากเป็นชาวจีน ก็จะสวมเสื้อแขนยาว คอจีน เสื้อผ้าหน้าซ่อนกระดุม สวมกางเกงขายาว โดยเสื้อจะใช้ผ้าสีเรียบหรือผ้าแพรจีนก็ได้











วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Malaysian food


                                       นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak)                                                         อาหารยอดนิยมของมาเลเซียคือข้าวหุงกับกะทิและใบเตย ทานพร้อม
                 เครื่องเคียง 4 อย่างได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น ไข่ต้มสุก                 และถั่วอบ นาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะ
ห่อด้วยใบตองและมักทานเป็น    อาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลาย
               ในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทย


 บัคกูเต๋   บักกุ๊ดเต๋  เป็นน้ำแกงแบบจีนที่นิยมรับประทานในมาเลเซีย สิงคโปร์ จีน ไต้หวัน และบางเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่น บาตัมในอินโดนีเซีย และอำเภอหาดใหญ่และภูเก็ตในไทย ชื่อบักกุ๊ดเต๋แปลตามตัวอักษรได้ว่า “กระดูกหมูและน้ำชา”   โดยทั่วไปจะประกอบด้วยซี่โครงหมูอ่อนตุ๋นในน้ำต้มสมุนไพรและเครื่องเทศ (ได้แก่ โป๊ยกั้ก อบเชย กานพลู ตังกุย เมล็ดยี่หร่า และกระเทียม) เป็นเวลาหลายชั่วโมง[2] อาจมีส่วนประกอบอื่นเพิ่มเติมอย่างเครื่องในสัตว์ เห็ดชนิดต่าง ๆ ผักกาด เต้าหู้แห้ง หรือเต้าหู้ทอด และอาจมีสมุนไพรจีนอื่น ๆ เช่น yu zhu (เหง้าของ Solomon’s Seal) และ ju zhi (ผล buckthorn) ที่ทำให้น้ำแกงมีรสหวานมากขึ้นและเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย ระหว่างปรุงจะเติมซีอิ๊วขาวและดำลงในน้ำแกง มีผักชีสับหรือหอมเจียวเป็นเครื่องตกแต่ง


The 4th of July (Independence day)

หรือ วันชาติสหรัฐอเมริกา หรือ วันฉลองอิสรภาพ สหรัฐอเมริกา เริ่มต้นในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1776 (พ.ศ. 2319) ซึ่งเป็นวันที่โธมัส เจฟเฟอร์สัน ได้ประกาศ "คำประกาศอิสระภาพ" ซึ่งมีใจความสำคัญถึงความมีสิทธิในชีวิตเสรีภาพ และการแสวงหาความสุขของชีวิตของมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

ในฤดูร้อนของปี ค.ศ.1776 ผู้แทนของอาณานิคมอังกฤษทั้ง13 แห่ง ในอเมริกาเหนือได้มารวมกันที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพลซิลเวเนีย เพื่อหารืออภิปรายกันในข้อเสนอที่อาจหาญว่า "อาณานิคมที่ผนึกเข้าด้วยกันนี้ล้วนแต่เป็นรัฐอิสระและเป็นเอกราช แล้ว โดยสิทธิก็ควรจะเป็นเช่นนั้น" ในขณะที่ผู้แทนจากอาณานิคม กำลังประชุมเพื่อพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวอยู่นั้น คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 5 คนนำโดย ทอมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของประเทศสหรัญอเมริกา ได้ร่างเอกสารขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งเรียกกันในเวลาต่อมาว่า "คำประกาศอิสระภาพ" หรือ "คำประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร" (Declaration of Independence) ส่งให้แก่อังกฤษ ก่อให้เกิดประเทศใหม่ชื่อว่า "สหรัฐอเมริกา" (United State of America) ขึ้น คำประกาศดังกล่าวได้กลายเป็นพื้นฐานระบอบประชาธิปไตยของประเทศอเมริกา โดยคำประกาศได้วางหลักการและเหตุผลในการก่อตั้งประเทศใหม่ว่า "เราถือว่าความจริงต่อไปนี้มีความหมายประจักษ์ชัดในตัวเอง คือ มนุษย์ทุกคนล้วนถือกำเนิดเกิดมาเท่าเทียมกัน และต่างได้รับสิทธิบางประการที่อาจมอบโอนกันได้จากประทานของผู้สร้าง ซึ่งในบรรดาสิทธิเหล่านี้มีสิทธิในชีวิตเสรีภาพ และการแสวงหาความสุขเป็นอาทิ" บรรดาผู้เข้าร่วมการประชุมที่ฟิลาเดลเฟียได้ออกเสียงลงมติเห็นชอบกับคำประกาศอิสรภาพ ในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 วันดังกล่าวจึงถือว่าเป็นวันกำเนิดอย่างเป็นทางการของสหรัฐอเมริกานับแต่นั้นเป็นต้นมา
ประวัติของประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เดิมดินแดนแถบนี้ได้มีชาวอเมริกันพื้นเมือง หรือ "อินเดียนแดง" (Indian) ซึ่งอพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อกว่า 25,000 ปีมาแล้วปกครองอยู่ก่อน จากนั้น คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจชาวอิตาเลียนได้เดินเรือมาถึงเกาะบาฮามาส์ (Bahamas) ทางตะวันออกของฟลอริดา ประเทศสหรัฐอเมริกาปัจจุบัน และตั้งชื่อว่า "ซาน ซัลวาดอร์" (San Salvador) และเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ในปี 2150 ชาวอังกฤษกลุ่มแรกได้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่เมือง เจมส์ทาวน์ (Jamestown) จากนั้นชาวยุโรปกลุ่มอื่น ๆ ได้อพยพตามเข้ามาพร้อมกับนำทาสผิวดำจากแอฟริกาเข้ามาด้วย แล้วขยายออกไปทางด้านตะวันตกอย่างรวดเร็ว โดยการขับไล่ชาวอินเดียนแดงให้ถอยร่นออกไป หลังจากประกาศอิสรภาพแล้วก็ได้เกิด สงครามกลางเมือง (American Civil War) ขึ้นในปี 2319-2326 ระหว่างรัฐฝ่ายใต้ทั้ง 13 รัฐที่ต้องการเอกราช กับ 21 รัฐฝ่ายเหนือที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ หลังจากชัยชนะของฝ่ายใต้ อังกฤษจึงยอมรับประเทศใหม่นี้ จากนั้นสหรัฐอเมริกาก็แผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจนมีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงกว่า 4 เท่าตัว

เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีอำนาจทางการเงินและการทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกามีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก รองจากรัสเซีย แคนาดา และจีน เมืองหลวงคือวอชิงตัน, ดี.ซี. (Warshing, D.C.) มีพื้นที่ทั้งหมด 9,631,418 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยมลรัฐ (State) 50 มลรัฐ แต่ละรัฐจะรับผิดชอบในการออกกฎหมายของตนเอง ปกครองในรูปแบบ สหพันธรัฐ (Federal Republic) ปกครองในระบอบประชาธิปไตยเสรี โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล ภายใต้รัฐธรรมนูญ มีประชากรทั้งหมดประมาณ 300 ล้านคน (พ.ศ. 2550) ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ หน่วยเงินตราดอลลาร์สหรัฐ (USD หรือ $ )

ในวันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปี ชาวอเมริกันจะประดับประดาธงชาติของตนด้วยความภาคภูมิใจในการเฉลิมฉลองเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นมรดกของชาติร่วมกัน โดยในปีนี้ (พ.ศ. 2556) จะถือว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีอายุครบ 237

Area 51 

เป็นชื่อเรียกของฐานทัพที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของรัฐเนวาดา ในสหรัฐอเมริกาตะวันตก ห่างจากดาวน์ทาวน์ในลาสเวกัส 83 ไมล์ (133 กม.) ตั้งอยู่ทางฝั่งใต้ของ "กรูม เลก" ในบริเวณพื้นที่ทางทหารการบินลับขนาดใหญ่ มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและทดสอบอากาศยานและระบบอาวุธ

ฐานทัพลับนี้ตั้งอยู่ในเขตทดสอบและฝึกซ้อมเนวาดาในพื้นที่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ อันกว้างขวาง ถึงแม้ว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จะดำเนินงานโดยฐานทัพทางอากาศที่ 99 (99th Air Base Wing) ที่ฐานทัพอากาศเนลลิส (Nellis Air Force Base) สิ่งอำนวยความสะดวกในกรูมเลกนี้ดำเนินการเสริมให้กับศูนย์ทดสอบกองทัพอากาศ (Air Force Flight Test Center (AFFTC)) ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดส ในทะเลทรายโมฮาวี ราว 186 ไมล์ (300 กม.) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรูม และยังเป็นที่รู้จักของศูนย์ทดสอบฐานทัพอากาศกองที่ 3 (Air Force Flight Test Center (Detachment 3))

เนื่องจากความเข้มงวดด้านการปกปิดความลับของฐานทัพ ทำให้มักถูกตั้งประเด็นว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิด ในเรื่องวัตถุบินไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ หรือ ยูเอฟโอ

วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

อาหารภาคอีสาน..ต้มแซ่บตีนไก่ซุปเปอร์
ตีนไก่ต้มยำหรือที่เค้าตั้งชื่อกันว่า " ต้ม Super " นั้น เป็นอาหารไทยที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นอาหารที่ทำง่าย รสชาติที่เผ็ดติดอกติดใจใครหลายๆคน ส่วนผสมและขั้นตอนการทำเป็นดังข้างล่างนี่เลยค่ะ
ส่วนผสม ต้มแซ่บตีนไก่ซุปเปอร์
  • ตีนไก่ สับเล็บออก 1 กก.
  • รากผักชี กระเทียม พริกไทย โขลกละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
  • ข่าแก่หั่นแว่น 5 แว่น
  • ขิงแก่ หั่นแว่น 5 แว่น
  • เกลือป่น 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา น้ำมะนาว
  • ใบผักชีหั่นหยาบ ใบผักชีฝรั่งหั่นหยาบ
  • พริกขี้หนู

วิธีทำ ต้มแซ่บตีนไก่ซุปเปอร์
1. ตีนไก่สับเล็บแล้ว ล้างให้สะอาด ใส่หม้อ เทน้ำใส่ให้ท่วม ใส่เครื่องโขลก ข่า ขิง ลงไปเลย ตั้งไฟกลางๆ จนเดือด เคี่ยวไปเรื่อยๆ หมั่นช้อนฟองออก คุมไฟไว้ อย่าให้เดือดแรง เดี๋ยวน้ำขุ่น เคี่ยวราวๆ 1 – 2 ชม. เอาขึ้นมาขานึง เอาช้อนกดดู ถ้าเปื่อยแล้วจะนิ่มมาก กระดูกหลุดอย่างง่ายๆ ก็ใช้ได้แล้วค่ะ
2. เอาพริกขี้หนูสับละเอียดๆ น้ำปลา น้ำมะนาว ใบผักชีหั่นหยาบ ใบผักชีฝรั่งหั่นหยาบใส่ถ้วย ตักต้มตีนไก่ลงไป จะเอาแซบขนาดไหน เปรี้ยว เค็มขนาดไหน ใส่ได้ตามชอบ โรยด้วยใบผักชีทั้ง 2 ชนิดลงไป เสร็จแล้วค่ะ